5
Your Rating
Rating
เหมยชาดย่ำเหมันต์ Average 5 / 5 out of 2
Rank
N/A, it has 11 monthly views
Genre(s)
Status
Completed
Comments
Bookmark This
เหมยชาดย่ำเหมันต์ เล่ม 1-2  จบ

ยามรักแม้นชี้นกยังเป็นบุปผา
ยามทอดทิ้งกลิ่นผกากลับราวซากศพ

“หยางอวี้” ถูกตราหน้าว่าเป็นสตรีแพศยาที่นำความเสื่อมโทรมมาสู่ราชสำนักและต้าถัง
ในยามที่กบฏอันลู่ซานโอบล้อมฉางอัน แม่ทัพนายกองจึงทำข้อแลกเปลี่ยนกับ “หลี่หลงจี”
ฆ่านาง แล้วพวกเขาจะยอมมอบความภักดี ขับไล่กบฏแล้วเชิญฮ่องเต้คืนสู่บัลลังก์
สวามีพานางหลบหนีไฟสงครามลงใต้ด้วยความรัก สุดท้ายก็ยอมพ่ายให้กับอำนาจที่ครอบครองมาตลอดหลายสิบปี
นางถูกตัดสินให้ตาย โดยสวามีที่มอบผ้าแพรขาวสามฉื่อให้เป็นคำตอบ
หยางอวี้ไม่เข้าใจว่านางผิดที่ใด ต่อให้คนก่อกบฏคือบุตรชายบุญธรรมก็หาใช่ตัวนาง
ไม่มีนางสักคนหนึ่งแล้วจะไม่มีกบฏอย่างนั้นหรือ จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร
ถึงอย่างนั้นนางก็สอดคอเข้าไปในบ่วง สาบานว่าชาตินี้ชาติหน้าจะไม่ขอร่วมกลบฝังบนแผ่นดินเดียวกันกับหลี่หลงจี

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งในร่างของตนในวัยสิบปี หยางอวี้จึงต้องเร่งแก้ไขความผิดพลาดที่ทำให้นางเข้าสู่วังหลวง
ทว่าโชคชะตาไม่รั้งคอย ส่งบททดสอบอันร้ายกาจมาให้ตั้งแต่แรกเริ่ม
บิดาถูกจับขังคุก หากคราวนี้หยางเสวียนเหยี่ยนตายลง นางย่อมไม่พ้นต้องกลับสู่วังวนอันโสมมเหมือนชาติก่อน
แต่นางสาบานว่าจะดิ้นรนให้ถึงที่สุด อย่างไรก็จะไม่เข้าร่วมเป็นหนึ่งกับสกุลหลี่ตลอดกาล!

————————-

“เจ้านั่งด้านใน”
“แต่–”
“หรือจะนั่งด้วยกันเล่า” เขาเลิกคิ้ว ทำท่าคล้ายจะเบียดมานั่งคู่กันจริงๆ นางรีบส่ายหน้า ยันแขนเขาไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้จนเกินงาม
ในรถม้ามีม้านั่งแต่สองตัว ตัวหนึ่งอยู่ชิดผนังด้านใน อีกตัวอยู่ชิดหน้าต่าง ปกติแล้วตัวในสุดควรจะเป็นของผู้มีฐานะสูงกว่า เพราะคลอนเคลงน้อยกว่า เขาทำเช่นนี้เสมือนว่านางสำคัญยิ่งกว่าตน
หยางอวี้เม้มปาก ท่องประโยคหนึ่งในใจ
เขาทำเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น อย่าได้ใจเกินไปหน่อยเลย
“ท่านอ๋องมาวันนี้ ไม่ทราบมีเรื่องใดจะสนทนากับหม่อมฉันหรือเพคะ”
รถม้าเคลื่อนแล้ว ลมพัดผ่านม่านหน้าต่าง หยางอวี้ตัวสั่น หลี่ชิงจึงกำชับเหว่ยหรงชิงที่เป็นสารถีจำเป็นเบาๆ
“ช้าลงหน่อย”
องครักษ์หนุ่มหันมองโจวติ่งเชียนที่ควบม้าอยู่ข้างๆ อย่างขอความช่วยเหลือ ช้ากว่าตะพาบแล้ว! หากท่านอ๋องจะให้ม้าลากรถช้าขนาดนี้ก็ให้ข้าลากเองเลยเถอะ!!
“ข้ามาหาคู่หมั้น จำต้องมีเรื่องสนทนาด้วยหรือ”
หยางอวี้มองเขา ดวงตาคาดคั้นไม่ยินยอม เขาหายไปครึ่งปีแล้วบอกว่าไม่มีอะไรหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร!
“เป็นหม่อมฉันที่คิดมากเกินไป”
ผู้อื่นไม่พูด หยางอวี้ก็คร้านจะง้างปาก เขาในชาติก่อนนางยังพอคุ้น แต่เขาในชาตินี้คล้ายมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นอยู่หนึ่งชั้น
เหมือนรู้จักเหมือนไม่รู้จัก
เหมือนใกล้ชิดเหมือนไกลห่าง
ใช้เวลาสองเค่อกว่าม้าจะย่างมาจนถึงจุดหมาย หยางอวี้แง้มม่านหน้าต่างมองอย่างสนใจ แต่หลี่ชิงกลับเอื้อมมือมาปิดแล้วเอ่ย “ให้รถม้าหยุดค่อยดู ตรงนี้ลมแรง”
นางค้อนเขาน้อยๆ ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมองสองมือของตนที่อยู่ใต้ปลอกแขนเมื่อนึกได้ว่าไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น
หลี่ชิงมองนางขำๆ ท่าทางเป็นธรรมชาตินี้ชวนให้คิดถึงยิ่งนัก ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยตลอดหกเดือนถูกพัดหายไปในพริบตา
เขากลับจากชายแดนยังไม่ได้หยุดพัก รู้แค่อยากเห็นหน้านางจึงผ่านฉางอันมาลั่วหยาง พบนางเช่นนี้นับว่าคุ้มค่าแล้ว
รถม้าหยุดแล้ว หยางอวี้เหลือบตามองเจ้าของรถม้าอย่างกระสับกระส่าย เห็นเขากำลังจุดเตาพกจึงไม่ได้เอ่ยอะไร
“อยากชมทิวทัศน์ไม่ใช่หรือ ชมสิ ตรงนี้มีข้าบังลม ไม่มีอะไรต้องกลัว” เขายื่นเตาพกให้นาง ช่วยถอดปลอกแขนขนสัตว์หนา หยางอวี้รับมาโดยไม่เกี่ยงงอน ในใจอุ่นขึ้นเมื่อเห็นว่าลมพัดมาทางเขาพอดี
“ท่านอ๋องไม่หนาวหรือเพคะ”
เขายิ้ม “ชายแดนหนาวกว่านี้นัก” …แค่ได้เห็นนางก็อุ่นไปทั้งใจแล้ว
หยางอวี้ยังไม่วางใจ “ท่านอ๋องให้คนปลุกหม่อมฉันมาเพื่อชมทิวทัศน์เป็นเพื่อนเท่านั้นหรือเพคะ”
หลี่ชิงกระตุกยิ้ม “เปล่า” ผายมือไปทางขบวนนางกำนัลที่ลำเลียงตั่งเตี้ยขึ้นมาบนรถม้า กลิ่นอาหารหอมฉุยถูกลมตีผ่านมาจนท้องของหยางอวี้ร้องเบาๆ นางก้มหน้า เม้มปาก แสร้งไม่ได้ยินเสียงขลุกขลักในลำคอของคนตัวโต
นางหิวแล้วผิดหรือ อย่างไรตอนนี้ก็เลยเวลารับสำรับเช้าของนางมาไม่น้อยแล้ว
“ข้าก็แค่… อยากจะชวนคุณหนูหยางมาทานอาหารและชมทิวทัศน์เท่านั้น”